อาการแพ้เครื่องสำอาง
1.อาการที่ผู้ใช้เครื่องสำอางจะรู้สึกด้วยตัวเอง เช่นอาการปวดแสบปวดร้อน อาการคัน หรือรู้สึกว่าคันยิบๆ อาการเหล่านี้จะเกิดเป็นช่วงสั้นๆ ไม่เกิด 10 นาที อาการที่พบบ่อยที่สุดมักเกิดจากการใช้เครื่องสำอางที่ใบหน้าแต่ผู้ที่แพ้มักไม่ไปพบแพทย์ เพราะเมื่อหยุดใช้ อาการก็จะหายไป ทั้งนี้อาจเกิดจากการระคายเคืองของเครื่องสำอาง
2.อาการแพ้ผื่นคัน อาจมีอาการตั้งแต่แพ้น้อยๆแค่มีผื่นแดงคัน จนกระทั่งแพ้มากเป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำ มีขุย บริเวณของร่างกายที่จะแพ้ได้บ่อยที่สุดคือ บริเวณหน้าโดยเฉพาะรอบดวงตา เนื่องจากเป็นบริเวณที่ผิวบางที่สุดคือ บริเวณหน้าโดยเฉพาะรอบดวงตา เนื่องจากเป็นบริเวณที่ผิวบางที่สุด
3.เกิดผื่นลมพิษ จะมีอาการผื่นแดง บวม ถ้าเป็นน้อยๆ อาจเห็นแค่หนังตาบวม ถ้าเป็นมากอาจพบผื่นบวมทั้งหน้า บางครั้งถ้าแพ้มาก อาจมีอาการทางด้านระบบอื่นของร่างกาย อาทิ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เช่น การแพ้ยาย้อมผม
4.เกิดผื่นดำ บางครั้งยิ่งทาเครื่องสำอางแล้วหน้ายิ่งดำ ทั้งนี้เนื่องจากในผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของน้ำหอม ซึ่งมีสารเคมีที่เมื่อโดนแสงแล้วจะเกิดการแพ้แสงแดดเห็นเป็นรอยดำบริเวณที่สัมผัส หรือบางครั้งผลิตภัณฑ์ที่มีสารธรรมชาติ เช่น มะกรูด มะนาว แตงกวา หรือการใช้สมุนไพรมาทาหน้าก็จะทำให้หน้าดำ เพราะมีสารที่ทำปฏิกิริยากับแสงแล้วทำให้เกิดผื่นดำได้ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่รักษาฝ้าที่มีสารไฮโดรควิโนนในความเข้มข้นสูง จะทำให้เกิดปื้นดำบนใบหน้าอย่างถาวร แม้จะหยุดใช้แล้วก็ยังไม่หายดำ
5.เกิดผื่นขาว ในสมัยก่อนมีครีมที่นิยมทาให้ใบหน้าขาว ซึ้งทาแล้วก็ทำให้ขาวได้จริงๆ แต่ขาวแบบไม่สม่ำเสมอ กระดำกระด่าง ทั้งนี้เนื่องจากมีสารจำพวกปรอทโมโนอีเทอร์ ไฮโดรควิโนนที่มีความเข้มข้นสูง บางครั้งรอยด่างขาวนี้ก็เป็นแบบถาวร เมื่อหยุดใช้แล้วเม็ดสีก็ไม่กลับคืน ดังนั้นทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจึงห้ามใช้สารเหล่านี้ในเครื่องสำอางแล้ว
6.สิว เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ทำให้เกิดสิว เช่น สาโนลิน โซเดียมลอรัลซัลเฟต สารสเตียรอยด์ เป็นต้น เมื่อใช้ไปนานๆ อาจก่อให้เกิดสิวได้ ดังนั้นถ้าคนที่มีอายุเลยวัยที่จะเป็นสิวแล้วเกิดเป็นสิวขึ้นมา ให้สงสัยไว้ก่อนว่าจะเกิดจากเครื่องสำอาง
7.การเปลี่ยนแปลงของเล็บ เช่น เล็บลอก เล็บผุกร่อน เปลี่ยนสี ขอบเล็บอักเสบ อาจเกิดจากการใช้เครื่องสำอางของเล็บ เช่น ยาทาเล็บ น้ำยาล้างเล็บ และบางครั้งก็เกิดจากร้านเสริมสวยที่รักษาความสะอาดไม่เพียงพอ
8.การเปลี่ยนแปลงของผม น้ำยาดัดผม น้ำยายืดผม จะทำให้เส้นผมเปราะหักง่าย น้ำยาย้อมผม น้ำยาทำสีผม อาจทำให้เส้นผมกระด้าง ขาดความเงางาม
9.ผลต่อระบบอื่นๆของร่างกาย เช่น เยื่อบุตาอักเสบ การดูดซึมของสาร การสะสมของสารพิษในระยะยาว ซึ่งถ้าเป็นเครื่องสำอางที่ได้มาตรฐานผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มักจะไม่มีอันตรายเหล่านี้ แต่บางครั้งด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ผลิตอาจจะใส่สารที่เป็นอันตราย เช่น ปรอท ตะกั่ว อันก่อให้เกิดพิษได้
ข้อมูลจาก : Siamhealth.net
-----------------------------------------------------------
วิธีรักษาอาการแพ้เครื่องสำอางมาฝากกัน....
1. หยุดการใช้เครื่องสำอางนั้นทันที และพยายามเช็ดหรือชะล้างบริเวณที่ใช้เครื่องสำอางนั้นให้สะอาดที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยปกติอาการแพ้ไม่รุนแรงมากนัก หลังจากนั้นสังเกตดูว่ามีอาการแพ้ลุกลามมากขึ้นอีกหรือไม่ โดยมากมักจะหายภายใน 7-10 วัน แต่หากมีอาการรุนแรงควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
2. หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เมื่อทราบสาเหตุว่าแพ้เครื่องสำอางชนิดใดหรือสารที่เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางนั้น ควรงดใช้หรือหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด
3. รักษาอาการแพ้ให้หาย หากเป็นผื่นแดง หรือเป็นตุ่มบวม หรือเป็นตุ่มน้ำใสมีน้ำเหลืองซึมออกมา ก็ควรทำความสะอาดแผลและใส่ยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการอักเสบเป็นหนอง นอกจากนี้ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อให้ตรวจดูว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้น จากการแพ้เครื่องสำอางหรือไม่ หรือเกิดจากสาเหตุอื่น เพื่อรักษาและหยุดปฏิกิริยาการแพ้ให้หายโดยเร็วที่สุด
1.อาการที่ผู้ใช้เครื่องสำอางจะรู้สึกด้วยตัวเอง เช่นอาการปวดแสบปวดร้อน อาการคัน หรือรู้สึกว่าคันยิบๆ อาการเหล่านี้จะเกิดเป็นช่วงสั้นๆ ไม่เกิด 10 นาที อาการที่พบบ่อยที่สุดมักเกิดจากการใช้เครื่องสำอางที่ใบหน้าแต่ผู้ที่แพ้มักไม่ไปพบแพทย์ เพราะเมื่อหยุดใช้ อาการก็จะหายไป ทั้งนี้อาจเกิดจากการระคายเคืองของเครื่องสำอาง
2.อาการแพ้ผื่นคัน อาจมีอาการตั้งแต่แพ้น้อยๆแค่มีผื่นแดงคัน จนกระทั่งแพ้มากเป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำ มีขุย บริเวณของร่างกายที่จะแพ้ได้บ่อยที่สุดคือ บริเวณหน้าโดยเฉพาะรอบดวงตา เนื่องจากเป็นบริเวณที่ผิวบางที่สุดคือ บริเวณหน้าโดยเฉพาะรอบดวงตา เนื่องจากเป็นบริเวณที่ผิวบางที่สุด
3.เกิดผื่นลมพิษ จะมีอาการผื่นแดง บวม ถ้าเป็นน้อยๆ อาจเห็นแค่หนังตาบวม ถ้าเป็นมากอาจพบผื่นบวมทั้งหน้า บางครั้งถ้าแพ้มาก อาจมีอาการทางด้านระบบอื่นของร่างกาย อาทิ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เช่น การแพ้ยาย้อมผม
4.เกิดผื่นดำ บางครั้งยิ่งทาเครื่องสำอางแล้วหน้ายิ่งดำ ทั้งนี้เนื่องจากในผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของน้ำหอม ซึ่งมีสารเคมีที่เมื่อโดนแสงแล้วจะเกิดการแพ้แสงแดดเห็นเป็นรอยดำบริเวณที่สัมผัส หรือบางครั้งผลิตภัณฑ์ที่มีสารธรรมชาติ เช่น มะกรูด มะนาว แตงกวา หรือการใช้สมุนไพรมาทาหน้าก็จะทำให้หน้าดำ เพราะมีสารที่ทำปฏิกิริยากับแสงแล้วทำให้เกิดผื่นดำได้ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่รักษาฝ้าที่มีสารไฮโดรควิโนนในความเข้มข้นสูง จะทำให้เกิดปื้นดำบนใบหน้าอย่างถาวร แม้จะหยุดใช้แล้วก็ยังไม่หายดำ
5.เกิดผื่นขาว ในสมัยก่อนมีครีมที่นิยมทาให้ใบหน้าขาว ซึ้งทาแล้วก็ทำให้ขาวได้จริงๆ แต่ขาวแบบไม่สม่ำเสมอ กระดำกระด่าง ทั้งนี้เนื่องจากมีสารจำพวกปรอทโมโนอีเทอร์ ไฮโดรควิโนนที่มีความเข้มข้นสูง บางครั้งรอยด่างขาวนี้ก็เป็นแบบถาวร เมื่อหยุดใช้แล้วเม็ดสีก็ไม่กลับคืน ดังนั้นทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจึงห้ามใช้สารเหล่านี้ในเครื่องสำอางแล้ว
6.สิว เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ทำให้เกิดสิว เช่น สาโนลิน โซเดียมลอรัลซัลเฟต สารสเตียรอยด์ เป็นต้น เมื่อใช้ไปนานๆ อาจก่อให้เกิดสิวได้ ดังนั้นถ้าคนที่มีอายุเลยวัยที่จะเป็นสิวแล้วเกิดเป็นสิวขึ้นมา ให้สงสัยไว้ก่อนว่าจะเกิดจากเครื่องสำอาง
7.การเปลี่ยนแปลงของเล็บ เช่น เล็บลอก เล็บผุกร่อน เปลี่ยนสี ขอบเล็บอักเสบ อาจเกิดจากการใช้เครื่องสำอางของเล็บ เช่น ยาทาเล็บ น้ำยาล้างเล็บ และบางครั้งก็เกิดจากร้านเสริมสวยที่รักษาความสะอาดไม่เพียงพอ
8.การเปลี่ยนแปลงของผม น้ำยาดัดผม น้ำยายืดผม จะทำให้เส้นผมเปราะหักง่าย น้ำยาย้อมผม น้ำยาทำสีผม อาจทำให้เส้นผมกระด้าง ขาดความเงางาม
9.ผลต่อระบบอื่นๆของร่างกาย เช่น เยื่อบุตาอักเสบ การดูดซึมของสาร การสะสมของสารพิษในระยะยาว ซึ่งถ้าเป็นเครื่องสำอางที่ได้มาตรฐานผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มักจะไม่มีอันตรายเหล่านี้ แต่บางครั้งด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ผลิตอาจจะใส่สารที่เป็นอันตราย เช่น ปรอท ตะกั่ว อันก่อให้เกิดพิษได้
ข้อมูลจาก : Siamhealth.net
-----------------------------------------------------------
วิธีรักษาอาการแพ้เครื่องสำอางมาฝากกัน....
1. หยุดการใช้เครื่องสำอางนั้นทันที และพยายามเช็ดหรือชะล้างบริเวณที่ใช้เครื่องสำอางนั้นให้สะอาดที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยปกติอาการแพ้ไม่รุนแรงมากนัก หลังจากนั้นสังเกตดูว่ามีอาการแพ้ลุกลามมากขึ้นอีกหรือไม่ โดยมากมักจะหายภายใน 7-10 วัน แต่หากมีอาการรุนแรงควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
2. หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เมื่อทราบสาเหตุว่าแพ้เครื่องสำอางชนิดใดหรือสารที่เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางนั้น ควรงดใช้หรือหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด
3. รักษาอาการแพ้ให้หาย หากเป็นผื่นแดง หรือเป็นตุ่มบวม หรือเป็นตุ่มน้ำใสมีน้ำเหลืองซึมออกมา ก็ควรทำความสะอาดแผลและใส่ยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการอักเสบเป็นหนอง นอกจากนี้ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อให้ตรวจดูว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้น จากการแพ้เครื่องสำอางหรือไม่ หรือเกิดจากสาเหตุอื่น เพื่อรักษาและหยุดปฏิกิริยาการแพ้ให้หายโดยเร็วที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น