วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

ครีมกันแดด

เมื่อออกแดด ทุกคนจะรู้สึกร้อน และเมื่อต้องออกแดดเป็นเวลานานมากขึ้นหรือในช่วงที่แดดจัดๆ เช่น ช่วงเที่ยงวัน สิ่งที่สังเกตได้ดีคือ ผิวของเราจะคล้ำมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีกระหรือฝ้าที่ใบหน้าอยู่แล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่า กระและฝ้าเข้มและมีจำนวนมากขึ้น หรือหลังจากไปเที่ยวทะเล อาบแดด จะพบว่าสีผิวของเราจะเปลี่ยนไป บางครั้งอาจมีผิวแห้งลอกเป็นขุยเล็กๆ ตามมาด้วย และเป็นอยู่นานเกือบสัปดาห์เลยทีเดียว
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราสังเกตได้ชัดว่า เป็นผลกระทบจากแสงแดด หรือรังสี Ultraviolet (UV) นั่นคือ เซลล์สร้างสีผิว (melanocyte) จะถูกกระตุ้นให้สร้างเม็ดสี หรือ pigment มากขึ้น และเกิดการไหม้ของผิว (sunburn) ตามมาด้วย แต่สิ่งสำคัญที่เราอาจสังเกตเองได้ไม่ชัดเจนนักแต่มีผลอันตรายก็คือแสง UV นี้ จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลเล็กๆ ในเซลล์ผิวหนังของคนเราเช่น DNA, RNA, proteins และ enzyme ต่างๆ ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมาได้ นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยด้วย (photoaging)
ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะหันมาสนใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดเพื่อสุขภาพผิว และป้องกันริ้วรอยที่เกิดก่อนวัย
ก่อนจะรู้จักกับครีมกัดแดด เรามาดูเรื่องแสงแดดก่อนนะคะ แสงแดดประกอบด้วยแสงในช่วงความยาวคลื่นต่างๆ แบ่งได้ดังนี้
1. UVC มีความยาวคลื่น 100-280 นาโนเมตร
2. UVB มีความยาวคลื่น 280-300 นาโนเมตร
3. UVA มีความยาวคลื่น 320-400 นาโนเมตร
4. Visible light มีความยาวคลื่น 400-800 นาโนเมตร
5. Infrared light มีความยาวคลื่น 800-1,700 นาโนเมตร
แสงในช่วงความยาวคลื่นที่มีผลกระทบต่อผิวหนังมากที่สุดคือ ช่วงของ UVB และ UVA ดังนั้นผลิตภัณฑ์กันแดดที่วางขายในท้องตลาดอาจแบ่งได้เป็น
1. สารกันแดดช่วงความยาวคลื่น UVB (UVB-absorbing agents) ได้แก่ PABA, glyceryl PABA, Padimate O และ Cinnamate
สารกลุ่ม PABA และ glyceryl PABA เป็นสารกันแดดที่ใช้กันมานาน แต่ในปัจจุบันพบว่าทำให้เกิดการแพ้ต่อผิวหนังที่สัมผัสได้ เช่น ทำให้เกิดอาการแสบร้อน คันหรือเป็นผื่นขึ้น จึงทำให้มีการใช้สารกลุ่มนี้น้อยลง
Padimate O เป็นสารที่ใช้กันค่อนข้างกว้างขวางและค่อนข้างปลอดภัย
Cinnamate เป็นตัวที่มีการใช้มากที่สุดในการกันแสง UVB ทำให้เกิดอาการแพ้ได้น้อยแต่ก็พบได้เช่นกัน
2. สารกันแดดในช่วงความยาวคลื่น UVA (UVA-absorbing agents) ได้แก่กลุ่ม Benzophenone, Avobenzone, Solicylate และ Ahthranilates
สารกันแดดทั้งสองกลุ่มข้างต้นจัดเป็น chemical sunscreens ซึ่งมีกลไกในการกันแดดโดยดูดซับ และกรองแสง UV ทำให้แสง UV ผ่านทะลุผิวหนังได้น้อยลง และแสงบางส่วนที่ผ่านผิวหนังไป แล้วทำปฏิกิริยากับโมเลกุลต่างๆ ในเซลล์ได้เป็นอนุมูลอิสระ (free radical) ซึ่งเป็นตัวการทำลายผิวหนัง สารกันแดดเหล่านี้ก็จะไปจับหรือทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นด้วย
สารกันแดดอีกประเภทหนึ่ง เรียกว่า physical sunscreens จะมีกลไกในการกัดแดด โดยเมื่อทาแล้วสารเหล่านี้จะฉาบอยู่ที่ผิว และทำหน้าที่สะท้อนแสงกลับออกไป สารเหล่านี้ได้แก่ Titanium dioxide (TiO2) และ Zine oxide (ZnO) จะช่วยกันได้ทั้ง UVA และ UVB
ในครีมกันแดดชนิดหนึ่งๆ มักจะผสมสารกันแดดมากกว่า 2-3 ตัว เพื่อให้ได้ค่า SPF (sun protective factor) ที่สูงและกันแดดได้มากขึ้น (broad spectrum) แต่ SPF ของครีมกันแดดที่เหมาะสมกับผิวของคนไทยคือ SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป และในคนที่ผิวขาวควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงขึ้น
นอกจากนี้ปริมาณของสารกันแดดที่ใช้ก็มีส่วนสำคัญ หากทาครีมกันแดดบางเกินไปค่า SPF ที่ได้ก็จะต่ำกว่าที่ผลิตภัณฑ์ระบุไว้ และระยะเวลาหลังทาครีมกันแดด ถ้ายิ่งนานค่า SPF ก็จะลดลงด้วย เพราะครีมกันแดดบางส่วนจะถูกเช็ดออกหรือชะล้างออกด้วยเหงื่อ ดังนั้นเราอาจต้องทาครีมกันแดด ทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ค่า SPF ที่เหมาะสม
ในการเลือกวื้อผลิตภัณฑ์กันแดด เราจะเห็นว่าบางชนิดที่หลอดจะระบุไว้ว่าเป็น "water resistant" หรือ "water proof" ซึ่งหมายถึงผลิตภัณฑ์กันแดดนั้น สามารถกันน้ำได้โดยครีมกันแดดจะยังคงอยู่ หลังจากแช่อยู่ในน้ำนาน 40 นาทีและ 80 นาที ตามลำดับ ราคาของผลิตภัณฑ์ชนิดนี้จะค่อนข้างสูง จึงเหมาะสำหรับการว่ายน้ำ ไปทะเลหรือเล่นกีฬาที่เหงื่อออกมากๆ
ถึงแม้ว่าแสงแดดจะมีผลกระทบและอันตรายกับผิวหนังบ้าง แต่แสงแดดก็จำเป็นอย่างยิ่ง ในการดำรงชีวิตและมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นการรู้จักหลีกเลี่ยงการออกแดดในช่วงแสงแดดจัดๆ เช่น ช่วงเวลา 10.00-16.00 น. และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดให้เหมาะสมกับผิวและกิจกรรมที่ทำอยู่ จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผิวและสำหรับคุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น